ทำยังไงให้โดนใจผู้บริโภค และปลอดภัยจากการตรวจสอบจาก อย.
ข้อมูลสำคัญที่ต้องมีบนฉลาก….เพื่อประโยชน์ของทุกท่านครับ
1. ชื่อเครื่องสำอาง และชื่อการค้า
ชื่อการค้าหรือชื่อเครื่องสำอาง มีแนวทางการพิจารณา รับแจ้งในส่วนของชื่อการค้าและชื่อของเครื่องสำอาง ดังนี้
1. ข้อความที่ใช้เป็นชื่อการค้าและชื่อเครื่องสำอาง ที่เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษต้องมีความหมายสอดคล้องตรงกัน หรือใช้ทับศัพท์
2. ต้องไม่ใช้ข้อความไปในทำนองโอ้อวด ไม่สุภาพ
3. ต้องไม่ใช้ข้อความ / คำศัพท์ / ตัวย่อ / คำพ้องรูป / คำพ้องเสียง / ตัวอักษร / ตัวเลข / การออกเสียง ที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับเครื่องสำอาง หรือสื่อความหมาย/แสดงสรรพคุณเกินขอบข่ายเครื่องสำอาง หรือไปในทางยา
4. ต้องไม่ใช้ข้อความ ที่ไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรมอันดีงามของไทย หรือสื่อถึงการใช้ทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งมิใช่เครื่องสำอาง
5. ต้องไม่ใช้ข้อความ ที่ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นผลิตภัณฑ์ยา หรือผลิตภัณฑ์อื่นที่ไม่ใช่เครื่องสำอาง
2. วิธีใช้
ควรระบุวิธีใช้ให้ละเอียด และเข้าใจง่าย เพื่อให้ลูกค้าใช้ได้อย่างถูกต้อง และประสิทธิภาพในการใช้สูงสุด
3. เลขที่ใบรับแจ้ง หรือเลขที่จดแจ้ง
เลขที่ใบรับแจ้ง หรือเลขที่จดแจ้งเป็นเลข 10 หลัก บนฉลากเครื่องสำอาง เพราะเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งชี้ว่าผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางนั้นได้มาแจ้งรายละเอียดตามข้อกำหนดการผลิตเพื่อขาย หรือ นำเข้าเพื่อขายเครื่องสำอาง ที่ไปทำการขึ้นทะเบียนจดแจ้งกับทางกระทรวงสาธารณสุข เริ่มจาก ผู้ประกอบการจะเป็นบุคคล หรือ นิติบุคคลก็ได้
- ต้องขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการก่อน (ถ้าเป็นผู้ผลิตเสีย 1,000 บาท แต่ถ้าเป็นผู้นำเข้าเสียค่าธรรมเนียม 2,000 บาท)
- จดแจ้งผลิตภัณฑ์ กรณีเป็น สินค้ารายการแรก ต้องขึ้นทะเบียนที่เคาว์เตอร์ // หลังจากนั้นขอไอดี ขึ้นทะเบียนผ่าน Internet
เวลาจะยื่นจดทะเบียน แบรนด์ก็จะต้องส่งเอกสารรายละเอียดส่วนผสมต่างๆ ผลิตที่ไหนยังไง ใครเป็นคนทำ ถ้ารายชื่อส่วนผสมที่ส่งไปไม่มีสารต้องห้ามที่ทางกระทรวงประกาศ ก็ถือว่าผ่าน รับจดแจ้ง
แนะนำตามเวปครับ http://www.fda.moph.go.th/
4. ประเภท หรือชนิดเครื่องสำอาง
ประเภท หรือชนิดเครื่องสำอาง
เดิมเครื่องสำอางถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
1. เครื่องสำอางควบคุมพิเศษ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ย้อมผมถาวร ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ น้ำยาบ้วนปากที่มีฟลูออไรด์ผลิตภัณฑ์ดัดผม ยืดผม ฟอกสีผม กำจัดขน
2. เครื่องสำอางควบคุม ได้แก่ เครื่องสำอางที่ผสมสารป้องกันแสงแดด ผ้าอนามัย ผลิตภัณฑ์ขจัดรังแคที่มีสารซิงก์ไพริไทออน หรือ ไพรอกโทน โอลามีน แป้งฝุ่นโรยตัว
3. เครื่องสำอางทั่วไป ได้แก่ แชมพู ครีมนวดผม สเปรย์ เจลแต่งผม
ปัจจุบัน มีเครื่องสำอางประเภทเดียวที่จะต้องไปยื่นจดแจ้งที่ อย. คือ “เครื่องสำอางควบคุม”
ตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2535
เครื่องสำอางควบคุม หมายถึง เครื่องสำอางที่ผู้ผลิตและผู้นำเข้าจะต้องแจ้งรายละเอียดของเครื่องสำอางควบคุม และชำระค่าธรรมเนียมรายปี จึงจะผลิตหรือนำเข้าเครื่องสำอางควบคุมได้
โดยทั่วไป มักแบ่งเครื่องสำอางเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ตามประโยชน์ใช้งาน คือ
1. ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว หรือ สกินแคร์ (Skin care products)
2. ผลิตภัณฑ์แต่งหน้า หรือ เมคอัพ (Make up products)
5. ปริมาณสุทธิ
ปริมาณสุทธิต้องเป็นน้ำหนักหรือปริมาตรเครื่องสำอางที่ไม่รวมภาชนะบรรจุ พร้อมระบุหน่วย เช่น กรัม (g)
6. คำเตือน
คำเตือน (ในบางกรณี) เครื่องสำอางบางประเภทจะต้องแสดงคำเตือนที่ฉลากด้วยเนื่องจากผลิตภัณฑ์นั้นอาจก่อให้เกิดความระคายเคืองได้ง่ายเช่น ผลิตภัณฑ์ย้อมผม เพื่อให้ผู้บริโภคได้ทราบถึงข้อควรระวังในการใช้เครื่องสำอางนั้นๆ เช่น ให้หยุดใช้เมื่อเกิดอาการระคายเคือง และควรพบแพทย์
7. วันเดือนปีที่ ผลิต และหมดอายุ
การแจ้งวันเดือนปีที่ผลิต และวันหมดอายุจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคอย่างยิ่ง และทำให้เกิดความมั่นใจในการซื้อ
– อักษรย่อคำว่า MFG. หมายถึง Manufactured Date หรือวันที่ผลิตสินค้า
– อักษรย่อคำว่า EXP. หมายถึง Expired Date หรือวันที่สินค้าจะหมดอายุ
8. ชื่อที่ตั้ง / ผู้นำเข้า
เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ อีกทั้งเป็นการแสดงความรับผิดชอบของเจ้าของผลิตภัณฑ์หากผู้บริโภคเกิดปัญหาใดๆก็สามารถติดต่อไปยังผู้รับผิดชอบได้ทั้งในกรณีเครื่องสำอางที่ผลิตในประเทศหรือนำเข้ามาจากต่างประเทศ
9. เลขแสดงครั้งที่ผลิต
เพื่อให้ทราบถึง Lot. ที่ทำการผลิต เช่น หากเกิดปัญหาทำให้เราทราบว่ามาจากของ Lot ไหน
10. ส่วนประกอบ
แจกแจงรายละเอียดของส่วนประกอบสินค้าว่าทำมาจากอะไรบ้างและในอัตราส่วนเท่าไหร่ และจะต้องเรียงลำดับตามปริมาณของสารจากมากไปหาน้อย แสดงเป็นร้อยละของน้ำหนักโดยประมาณ